เปิดตัวกันมาได้สักพักแล้วนะครับสำหรับ Matterport Pro3 ที่ใครๆ หลายคนถามถึง และเฝ้ารอให้มีการนำเข้ามาที่เมืองไทย แต่ก็ต้องทำใครหลายคนรอกันนานพอสมควรเลย แต่สำหรับ Dfine Digital Reality ซึ่งถือว่าได้เครื่องมาอยู่ในมือลำดับต้นๆ ของประเทศ ก็ไม่อยากให้แฟนๆ รอกันนานจนเกินไป โดยในคลิปที่แล้วนั้นก็ได้ทำการแกะกล่องกันไปให้ดูแล้วมาอุปกรณ์มาตราฐานที่ติดมาด้วยกัย Matterport Pro 3 นั้นมีอะไรให้มาบ้าง พอมาถึงวันนี้ Dfine ก็จะมาพูดถึงการใช้งานว่าแต่ละตัว แต่ละประเภทนั้นทำงานอย่างไร Axis ใช้งานง่ายอย่างที่คิดจริงหรือไม่ และถ้า Pro3 ออกสู่ท้องตลาดแล้ว Pro2 และ Leica BLK 360 จะตกรุ่นไปเลยรึป่าววันนี้ Dfine จะสรุปให้ฟังครับ
Matterport AXIS
ขอเริ่มที่น้องเล็กสุดท้องก่อนนะครับ เพราะเจ้าตัวนี้เนี่ยพอออกมาก็สร้างกระแสฮือฮาไปทั่วโลกเลยก็ว่าได้ เพราะด้วยความที่มีขนาดเล็ก พกพาง่าย และที่สำคัญก็คือราคาที่ถือว่าถูกมากๆ ซึ่งถูกกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นเริ่มต้นเลยก็ว่าได้ และยังสามาถที่จะเจาะตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจได้โดยง่าย เพราะทุกวันนี้การเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ นั้น เหล่าบรรดา Traval Walker หลายคนนิยมบันทึกสถานที่ต่างๆ มากกว่าการที่จะบันทึกรูปถ่ายลงบน Socail Media นั่นเองครับ
หากมองถึงการทำงานของเจ้า Matterport Axis นั้นถือว่าง่ายเหมือนถ่ายภาพโดยทั่วไปเลยครับ เพราะเพียงแค่คุณนั้นนำโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของคุณ ติดตั้งเข้ากับ Matterport Axis จากนั้นเปิดเครื่อง และเชื่อมต่อบลูธูสกับอุปกรณ์ให้เรียบร้อย เพียงเท่านี้ก็พร้อมที่จะใช้งานแล้วครับ และที่มากไปกว่านั้น Matterport Axis ยังมาพร้อมกันกับรีโมทขนาดเล็กที่สามารถสั่งงานได้ในระยะไกล (แต่ก็ไม่ไกลมาก อิอิอิ) ทำให้มีความสะดวก และลดปัญหาที่ใครหลายคนกังวลว่าจะสแกนติดตัวเองครับ
ซึ่งเจ้า Matterport Axis ตัวนี้นั้นสามารถทำงานได้ดีในพื้นที่ที่ไม่ใหญ่มาก เช่น คอนโด อพาทเม้น บ้านหลักเล็กๆ เป็นต้น อย่างไรก็แล้วแต่ครับ Matterport Axis ก็ยังคงเป็นเพียงรุ่นเริ่มต้นที่สามารถสแกน และทำงานได้ประมาณนึงเท่านั้น ซึ่งในการสแกนนั้นก็ยังเห็นถึงรอยต่อและ ความเลื่อมล้ำของสีที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่บ้าง หากใครที่สนใจใช้งานอาจจะต้องมีการกำหนดเรื่องของสถานที่และตำแหน่งในการถ่ายทำไว้บ้างก็ดีครับ
Matterport Pro2
เรียกได้ว่าครองใจผู้ใช้งานมาอย่างยาวนานครับสำหรับ Matterport Pro2 ที่เรียกได้ว่าออกมาเพื่อตอบโจทย์สังคมในยุคที่ต้องเหลี่ยกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้เป็นอย่างดี เพราะช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงที่มีการระบาดของไวรัส โควิด – 19 สถานที่หลายๆ แห่งเช่น สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ซื้อสินค้า หรือแม้กระทั่งโรงเรียน โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ต้องหยุดการเดินทางไปยังสถานที่นั้นๆ ซึ่งการสร้าง Virtual World ของ Matterport Pro2 นั้นสามารถทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสถานที่นั้นได้
และประโยชน์ที่มากกว่านั้นก็คือ เป็นการมอบโอกาสที่สำคัญให้กับใครอีกหลายๆ คนได้พบการประสบการณ์ใหม่ๆ ในสถานที่มใหม่ๆ อย่างเด็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และไม่มีโอกาสเดินทางเข้าไปในที่นั้นๆ Virtual world ก็จะทำให้น้องๆ เหล่านั้นได้เห็นและได้เรียนรู้มากขึ้นไปอีกด้วย และในบางมุมยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศษรฐกิจให้สามารถเดินหน้าต่อได้ในยุคนี้ เพราะการเติบโตของการค้าขายรูปแบบอนไลน์นั้น มีอัตราที่สูงมากๆ แต่มันก็เหมือนการเสี่ยงดวงในบางครั้ง เพราะเราไม่มีทางทราบเลยว่าสีหรือแบบที่แสดงในหน้าเว็บหรือแอพพลิเคชั่นนั้นตรงตามที่เห็นหรือไม่ แต่หากเรามี Virtual World ที่สามารถบอกได้ถึงความสมจริงทั้งสถานที่และข้อเปรียบเทียบของสินค้า มันก็จะเป็นการการันตีได้ทันทีว่าของที่เราจะได้เป็นสิ่งที่ตรงปก
5555555555555555555555555
ซึ่ง Matterport Pro2 นั้นสามารถทำงานได้เป็นอย่างดีในสถานที่ต่างๆ ที่มีขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ เช่น หมู่บ้านจัดสรรค์ หรือว่าเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาด 10,000 ตรม. Matterport Pro2 ก็สามารถที่จะทำได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น เครื่องมือวัดต่างๆ การเบลอส่วนที่ไม่ต้องการ การเพิ่มรูปภาพหรือลิ้งค์จาก Youtube ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ต้องบอกก่อนเลยว่า Matterport Pro2 นั้นอาจจะสู้แดดจัดมากๆ ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะหาทางออกไม่ได้ 555+ โดยเราสามารถเลือกช่วงเวลาในการสแกนภายนอกได้เช่น ช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ก็จะสามารถสแกนนอกสถานที่ได้เช่นกัน
Matterport Pro3
และมาถึงตัวที่หลายๆ คนรอคอยนั่นก็คือ Matterport Pro3 นั่นเอง ซึ่งเปิดตอนเป็นที่เรียบร้อยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และหลายคนก็อยากเห็นกันว่า Matterport จะทำออกมาได้ดีแค่ไหน ปัญหาที่เจอกันบ่อยๆ จะถูกแก้ไขอย่างไร และที่สำคัญคือหน้าตาการออกแบบที่แปลกตา และมีระบบ Laidar Scan ที่เทียบชั้น Leica BLK 360 นั้นจะเจ๋งมากแค่ไหน เรามาเริ่มกันเลยครับ
สำหรับ Matterport Pro3 ที่วางตลาดกันไปแล้วนั้นมาพร้อมกับหน้าตามที่ดูทันสมัย และมีความแปลกตาเป็นอย่างมาก ซึ่งการใช้งานนั้นทีมงานมองว่า สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วกว่า Matterport Pro2 ถึง 30 % และนอกจากนั้นยังมาช่วยกู้หน้าตาของ Matterport Pro2 ในเรื่องของการทำงานกลางแจ้งได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะว่าเจ้า Matterport Pro3 นั่นสามารถทำงานกลางแจ้ง และแดดจัดได้เป็นอย่างดี มากไปกว่านั้นก็คือการเชื่อมต่อหรือที่เรียกว่า Aligment นั้นสามารถทำได้ดีและเพิ่มระยะการทำงานที่มากขึ้น ทำให้ประหยัดเวลาในกาทำงาน และยังเสริมมาด้วยการควบคุมระยะไกลจากแท็บเล็ตได้ไกลขึ้นอีกด้วย
Leica BLK 360
มาถึงพี่ใหญ่สุดในวงอย่าง Leica BLK 360 ที่มากกว่าคำว่า space capture ที่เป็นได้แทบทุกอย่าง และทุกวงการ 3 มิติ เพราะด้วยประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม การทำงานที่รวดเร็ว ความแม่นยำของข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนต่ำ และยิ่งอยู่บนแบรนด์ระดับโลกอย่าง Leica และด้วย ยิ่งเป็นการการันตี ได้เป็นอย่างดีถึงคุณภาพชั้นสูง
ซึ่ง Leica BLK 360 นั้นสามารถสแกนในพื้นที่ขนาดใหญ่พิเศษได้เช่น โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ สนามกีฬา งานสำรวจเหมืองแร่ หรือเครื่องบินทั้งลำก็สามารถที่จะสแกนได้โดยที่ไม่มีปัญหา และด้วยการทำงานระดับมืออาชีพที่เร็วขึ้น 5เท่า, ระเอียดขึ้น 2เท่า, เชื่อมต่อเร็วขึ้น USB3.0, กล้อง 360 จำนวน 4ตัว – เร็วขึ้น 5 เท่า โดยใช้เวลาสแกนต่อจุดเฉลี่ย 20วินาที – ละเอียดขึ้น 2เท่า โดยเก็บจุดได้ 680,000จุด/วินาที – กล้อง HDR ละเอียดขึ้นมีทั้งหมด 4ตัว ทำให้การทำงานนนั้นอยู่ในระดับมืออาชีพเลยทีเดียว
สรุป
โดยสรุปแล้วการเปิดตัวของ Matterport Pro3 ที่ออกมานั้นอาจจะไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงกับ Leica BLK 360 มากนัก เพราะจริงอยู่ที่มีการสแกนพื้นที่โดยใช้ Point Cloud แต่ว่ากว่าจะได้ใช้ไฟล์ E57 ในการทำงาน Matterport Pro3 ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายอีกส่วนหนึ่งเช่นกัน แต่หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง Matterport Pro3 ก็เป็นการปรับประสิทธิภาพการทำงานขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งทั้ง ทำงานในที่แดดจัดได้ดีขึ้น ทำงานได้ไวขึ้น การเชื่อมต่อดีขึ้น นำหนักเบา และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เทคโนโลยี Lidra สแกนที่เพิ่มเข้ามาทำให้ผู้ปฏิบัติงานนนั้นทำงานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นนั่นเอง