หลายคนบอกจะยังงัยดีครับ เลือกตัวไหนดี? เพราะตอนนี้กระแส Metaverse VR AR อะไรต่างๆ นาๆ กำลังเป็นที่พูดถึงเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะงานด้านไหนก็อยากได้เทคโนโลยีใหม่ไปใช้งานกันทั้งนั้น บางคนกำลังจะซื้อ Matterport Pro2 อยู่แล้ว แต่ดันมาเจอกับ Matterport Pro3 ที่พึ่งออกมาใหม่เมื่อต้นปีนี้ ถ้าหากจะตัดสิ้นใจซื้อ Matterport Pro2 ก็กลัวจะตกรุ่นหรือเรื่องการอัพเดทต่างๆ อีก วันนี้ Dfine จะพามาดูข้อมูลที่สำคัญๆ กันว่า Matterport Pro3 ออกมาใหม่ แล้วรุ่นก่อนอย่าง Matterport Pro2 จะตกรุ่นรึป่าวนะ มาติดตามกันเลยครับ
ความละเอียดกล้องไม่ต่างกัน ถ้าเริ่มจากการเทียบสเปกกันแล้วเนี่ย กล้องที่ใช้ในการทำงานของทั้ง 2 รุ่นก็จะเป็นสิ่งแรกที่ต้องยกมาพูดกันนะครับ เพราะว่ากล้องของทั้ง 2 รุ่น ทั้ง Matterport Pro2 และ Matterport Pro3 นั้น มีสเปกของกล้องเท่ากันเลยครับ อาจจะต่างกันแค่ Matterport Pro2 นั้นแบ่งการทำงานออกเป็น 3 เลนส์ ที่แต่ละเลนส์จะมีองศาในการทำงานที่แตกต่างกัน มีทั้งกล้องเก็บด้านหน้า ด้านบน และด้านล่าง ซึ่งต่างโดยสิ้นเชิงกับกล้องของ Matterport Pro3 ที่จะมาพร้อมเลนส์ในการทำงานเพียง 1 เลนส์เทานั้น ที่มองเผินๆ แอบคล้ายกับเลนส์ Fish eye อยู่นะครับ ซึ่งจะมา 3 หรือ 1 เลนส์ความละเอียดก็มาเท่ากัน นั่นก็คือ 134.2 ล้านพิกเซล ทำให้ข้อนี้ใครจะซื้อเพื่อใช้งานในส่วนของความละเอียดของกล้องเป็นหลักนั้นหายห่วงได้เลยว่าไม่ตกรุ่นแน่นอน และยังสามารถทำงานในการสแกนในแนวดิ่ง 180องศาเท่ากันอีกด้วย
ราคาแพงขึ้นเกือบ 2 เท่า เป็นอีกประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยครับสำหรับราคา เพราะทุกอย่างในการทำงานก็จะมีต้นทุนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอครับ สำหรับเจ้า Matterport Pro3 เปิดตัวนในไทยสงงวนราคาอยู่ที่ 259,000 บาท ซึ่งราคาโดดขึ้นเกือบ 2 เท่าจากรุ่นเดิมที่ตั้งราคาขายอยู่ที่ 139,000 บาท ในทุกผู้จัดจำหน่ายนะครับ แต่ทาง Matterport เองก็เคลมว่าประสิทธิภาพและเทคโนโลยีที่เพิ่มเข้ามานั้นทำให้ผู้ใช้งาน สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และยิ่งเพิ่มเทคโนโลยีอย่างการสแกนแบบ Lidar เข้ามาให้เหมือน Leica BLK 360 ยิ่งทำให้ Matterport Pro3 กระโดดขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียว แต่สำหรับในบ้านเรานั้นการใช้งาน Lidar Scan ก็ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก เพราะฉะนั้นแล้วการลงทุนในแต่ละส่วนก็อย่างให้ลองเปรียบเทียบถึงฟังก์ชั่นการใช้งานก็ดีๆ นะครับ
ใช้งานได้เหมือนกัน หลังจากที่เราได้ทำคอนเท้นเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้งานไปแล้วสักพักหนึ่ง (คลิกอ่านที่นี่) ทำให้เรารู้เลยว่าการใช้งานของทั้ง 2 รุ่นนั้นเหมือนกันเกือบทุกอย่างเลยทีเดียว ทั้งในเรื่องของการเชื่อมต่อ ระบบการสแกน หรือแม้กระทั่ง การอัพโหลดต่างๆ ที่ทุกคนรู้ว่าเราสามรถจัดกาทุกอย่างได้ในแท็บเล็ตอยู่แล้ว ตัวเครื่องนั้นเป็นเหมือนตัวรับข้อมูลเท่านั้น แต่อาจจะมีข้อแตกต่างตรงที่ Matterport Pro3 นั้นสามารถทำงานได้ในระยะที่ไกลขึ้น ทำให้เวลาเรารับงานใหญ่ ก็อาจจะมีจข้อดีตรงจุดนี้เท่านั้นเอง
ทำงานกลางแจ้งไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหา จริงอยู่ที่ผู้ใช้งาน Matterport Pro2 ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า มันใช้งานกลางแจ้งแล้วทำไมสแกนไม่ค่อยติด หรือว่าเครืองไม่สามารถสร้าง point cloud ได้ ซึ่ง Matterport รู้ดีว่ามันเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่ใครๆ ก็พูดถึง ซึ่งทีมงานของเราเองก็ยังเคยเจอปัญหาตรงนี้เช่นกัน เราได้ลองแนะนำผู้ใช้งานส่วนใหญ่ที่ใช้งาน Matterport Pro2 ลองวางแผนจัดสรรค์ช่วงเวลาดูอีกสักนิดนึงว่า ช่วงเวลาถ่ายนั้นมีส่วนอยู่มากทีเดียวจากเดิมที่เราจะถ่ายในช่วงที่มีแดดจัด เราลองเปลี่ยนมาเป็นช่วงที่แดดไม่แรงมาก เช่นช่วงเช้า หรือช่วงเย็น Matterport Pro2 ก็ยังสามารถสแกนได้เช่นเดียวกัน
ติดตั้งอุปกรณ์เสริมง่ายกว่า เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้วครับทุกคน เพราะ Matterport Pro2 ได้ถูกออกแบบมาให้สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก และด้วยรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ตั้งยังไงก็ไม่มีวันล้ม และยังมีพื้นที่ส่วนบนของตัวเครื่อง ที่เรียบสนิทจนสามารถวางของไว้บนเครื่องขณะทำงานได้ ซึ่งตรงนี้เองทำให้เป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งของ Matterport Pro2 ยกตัวอย่างเช่น การทำงานในพื้นที่แสงน้อยอย่าง ถ้ำ หรือในสถานที่ก่อสร้างที่ยังไม่มีการติดตั้งเครื่องมือส่องสว่าง ผู้ใช้งานสามารถติดตั้งหลอดไฟ หรืออุปกรณืไว้ด้านบนของตัวเครื่องได้ อย่างลงตัว แต่สำหรับ Matterport Pro3 นั้นมีการออกแบบให้มีความทันสมัยมากขึ้นแต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ว่าจะติดตั้งอุปกรณ์อย่างไรดี?
Lidar ใช้ได้จริงมั้ย? จริงแล้วเทคโนโลยีนี้เป็นเทคโนโลยีที่ดี และมีประโยชน์มาก และเป็นที่รู้จักและใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ แต่สำหรับบ้านเรานั้น เทคโนโลยีนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันเท่าไหร่ บวกกับการลงทุนในเทคโนโลยีนี้ในอดีตจะเป็นเป็นที่ไกลตัวมาก บรรดาผู้รับเหมาต่างๆ ก็ยังคงใช้เทคโนโลยีเดิมในการทำงาน อีกอย่างบริษัทในบ้านเราส่วนใหญ่ยังไม่รองรับการทำงานในระบบนี้สักเท่าไหร่ หากใครจะตัดสินใจกับ Matterport Pro3 แล้วอยากให้ลองมองในจุดนี้ด้วยก็ดีครับ เพราะไม่ว่า Pro2 หรือ Pro3 ก็เสียเงินเพิ่มค่าไฟล์อยู่ดี
สรุปแล้วนะครับหากใครกำลังสนใจ Matterport อยู่แล้วทางทีมงานของเราก็อยากให้ลองคำนึงถึงประโยชน์ในการใช้งานจริงๆ ของแต่ละรุ่นเป็นหลักครับ ไม่ว่าจะเป็น Matterport Pro2 หรือ Matterport Pro3 ต่างก็จะมีจุดเด่นและข้อสังเกตที่แตกต่างกันออกไป หากใครที่อยากนำไปใช้เพียงการสร้าง Virtual World หรือ ใช้ไฟล์ .OBJ ก็ลอง Matterport Pro2 แต่ใครที่ต้องการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการออกแบบและตกแต่งภายใน งานก่อสร้าง การคำนวนปริมาณต่างๆ ก็อาจจะขยับขึ้นมาเลานรุ่นที่สูงขึ้นอย่าง Matterport Pro3 ก็ได้ครับ แต่ถ้าหากใครต้องการทดลองและเห็นข้อแตกต่างกันอย่างชัดก็ลองเข้ามาสัมผัสได้ที่โชร์รูมได้ที่ Dfine Digital Reality ได้เลย