หลักจากที่ทาง Dfine Digital Reality ได้รับ Matterport Pro3 มาลองใช้งานตั้งแต่ต้นปีนั้น จนมาถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้ว ทางเราก็ได้มีการสอบถามทีมงานถึงการใช้งานว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีจุดเด่น และข้อที่ต้องการพัฒนาอะไรบ้าง จนได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อยู่ในระดับหนึ่ง เผื่อใครที่กำลังมองหา และอยากใช้งาน Matterport Pro3 กันอยู่จะได้เป็นข้อมูลในการทำงาน ซึ่งในวันนี้ Dfine ก็ได้รวมรวม 5 จุดเด่น 5 จุดสังเกต มาให้ทุกคนได้ติดตามกันครับ
5 จุดเด่นน่าสนใจ Matterport Pro3
ทำงานกลางแจ้ง แดดจัดไม่มีที่ติ ข้อนี้ขอเป็นข้อแรกที่เราขอยกขึ้นมาคุยกันเลย เพราะว่าเมื่อก่อน Matterport Pro2 นั้นหลายๆ คนบอกว่าการทำงานกลางแจ้งนั้น ค่อนข้างมีปัญหามาก เนื่องจากเครื่องนั้นไม่สามารถทำงานในที่แดดจัดได้ และถึงสแกนได้ก็จะเป็นการสแกนเพียงแค่ภาพเฉยๆ ไม่สามารถสร้าง Piont Cloud ขึ้นมาได้ จึงทำให้หลายๆ คนนั้นบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า เสียดายมากกับข้อจำกัดตรงนี้ แต่สำหรับ Matterport Pro3 ข้อจำกัดในส่วนนี้ก็ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงให้ดีขึ้น จนสามารถใช้งานในที่กลางแจ้งได้ และยังควบคุมอุณภูมิได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หากเกิดปัญหาขึ้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นที่แท็บเล็ท ของผู้ใช้งานมากกว่าที่ทำงานกลางแจ้งจนมีความร้อนสะสมจนแอพนั้นเด้งออกกันเป็นแถว
แบตเตอรี่แบบถอดได้ ทำงานไม่สะดุด ถือว่าดีมากๆ สำหรับข้อนี้เพราะว่า Matterport Pro3 นั้นมาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบถอดชา์จได้ จึงทำให้สามารถสำรองแบตเตอรี่ในการทำงานได้ เพราะบางสถานที่ที่มีขนาดของงานสแกนที่กว้างมาก การพกแบตเข้าไปอีกก้อนก็จะทำให้สามารถทำงานได้อย่างลื่นไหลมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเปรียบเทียบกับ Matterport Pro2 ที่ติดตั้งแบตเข้าไปในเครื่องเลย ทำให้ต้องคอยชาร์จและเสียเวลาไปหลายชั่วโมงกว่า แบตจะเต็มและพร้อมใช้งาน
ระบบ Lidar เพิ่มประสิทธิภาพเทียบเท่ารุ่นพี่ เราคงเห็นการทำงานของ Lidar Scan ก็มาเยอะ เช่น ในตัว BLK 360 ที่ Lidar นั้นสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่สำหรับ Matterport Pro3 ก็ได้มีการติดอาวุธเพิ่มและอัพเกรด การทำงานในส่วนนี้มาดวย ทำให้ตอนเปิดตัวนั้นสร้างกระแสในด้านนี้ได้อย่างมาก เพราะหลายคนก็กลัวว่าจะมาแทนที่ BLK 360 หรือไม่ คำตอบก็คือยังนะครับทุกคน ถึงแม้ว่า Matterport Pro3 จะมาพร้อมกับ Lidar Scan แต่สำหรับการทำงานนั้นก็ยังทำงานได้เพียงระยะที่ไม่ไกลมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นใครที่ถือเจ้า BLK 360 อยู่ก็สบายใจได้เลย
ดีไซส์สุดล้ำ เล็ก และน้ำหนักเบา ถ้าไม่พูดถึงในเรื่องนี้ก็คงไม่ได้ถูกรึป่าวครับ เพราะด้วยการออกแบที่สะดุดตาที่แต่แรกเห็น ทำให้เรานั้นอยากรู้ว่าประสิทธิภาพนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ายห่วงได้เลยครับ ถึงแม้จะมาพร้อมกล้องเพียง 1 ตัว Matterport Pro3 ก็ยังสามารถทำงานได้อย่างละเอียดไม่แพ้ Matterport Pro2 แน่นอน และนอกจากการออกแบบที่ล้ำสมัยแล้ว ยังมากับน้ำหนักตัวที่เบาลง และขนาดกระทัดรัด ทำให้การเคลื่อนย้ายไปในจุดต่างๆ นั้นสามารถทำได้โดยไม่ต้องออกแรงมากนัก
aaaaaaaaaaaaaaaaaaaa
เพิ่มระยะในการสแกน งานเสร็จไวขึ้น นอกจากน้ำหนักตัวเครื่องที่เบาลงแล้ว ยังมีจุดเด่นหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ระยะในการสแกนแต่ละจุดที่สุดยอดมากสามารถสแกนได้ไกลขึ้น และสามารถเชื่อมต่อแต่ละจุดได้ดีขึ้น ซึ่งหากมองจากรุ่นที่แล้ว Matterport Pro2 จะสามารถตั้งจุดสแกนห่างกันได้ประมาณ 3-5 เมตร เท่านั้น แต่สำหรับ Matterport Pro3 แล้วสามารถสแกนห่างกันมากถึง 10-15 เมตรเลยทีเดียว แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่ด้วยนะครับ แต่อย่างไรก็ตามจุดนี้ก็ถือว่ามีส่วนช่วยให้งานนั้นเสร็จเร็วขึ้น ลดจุดสแกนในจุดที่ไม่จำเป็น ทำให้มีปริมาณจุดที่ไปสแกนในส่วนที่จำเป็นได้มากขึ้น
5 จุดสังเกต Matterport Pro3
ฝาปิดเลนส์ หายแน่ๆ ถ้าเป็นไม่เป็นที่ ข้อนี้คืออันดับที่หนึ่งเลยครับ เพราะถึงแม้ว่า Matterport Pro3 จะให้ฝาปิดเลนส์ที่เป็นรูปแบบแม่เหล็กมาก็ตามแต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดก็คือผู้ใช้งานก็จะเก็บในกระเป๋ากางเกงบ้าง ในกระเป๋าของ Matterport Pro3 บ้างหรือวางทิ้งไว้บ้าง ซึ่งทีมงานของเราเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ทางที่ดีเราควรหาอะไรสักอย่างมายึดฝาปิดให้มัน สามารถติดเจ้า Matterport Pro3 ไว้ตลอดเวลาดีกว่าครับ ด้วยการออกแบบให้เลนส์นั้นยื่นออกมาจะตัวเครื่องด้วยแล้วการที่ทำฝาหาย แล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา มันจะไม่คุมกับค่าซ่อมนะครับ
แรงเหวี่ยงเวลาทำงาน เรียกได้ว่าเกือบไปแล้วกับทางทีมงานของเรา เนื่องจากการทำงานของ Matterport Pro3 นั้นต้องใช้การหมุนแบบ 360 องศา ซึ่งตัวเครื่องที่ติดกับขาตั้งกล้องจะเป็นฝั่งเดียวของเครื่องเท่านั้น ทำให้แรงเหวี่ยงนั้นมีน้ำหนักมาก หากใครใช้ขาตั้งกล้องที่ไม่แข็งแรงมากก็จะเสี่ยงที่จะล้มได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเราควรหาขาตั้งกล้องที่มีขนาดและน้ำหนักกำลังดีในการใช้งาน เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุไปในตัวครับ
หูจับหายไป ต้องระวังตลอดเวลา เราคงเคยชินกับการติดตั้ง Matterport เข้ากับขาตั้งกล้องตั้งแต่ในรุ่นก่อนๆ กันแล้ว ว่ามันทั้งสะดวก และง่ายมากๆ เพียงแค่จับหูจับไว้ และหมุนเข้ากับขาตั้งกล้องเพียงเท่านี้ก็พร้อมใช้งานแล้ว แต่จะไม่ใช่สำหรับ Matterport Pro3 ที่ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดแบบไม่เหลือเค้าโครงเดิมอยู่เลย และยังถูกตัดหูจังออกไปอีกด้วย ทำให้การประกอบเข้ากับขาตั้งกล้องนั้นต้องประคองด้วยความระมัดระวังก็เป็นอย่างสูงเลย เพราะถ้าหากหล่นลงมาแล้วละก็ จะหาว่าเราไม่เตือนนะครับ
จุดเชื่อมต่อหายาก ในข้อนี้อาจจะขึ้นอยู่กับเทคนิกการสแกน หรือสถานที่ด้วยนะครับ แต่ขอเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ของทีมงานละกันนะครับ เวลาเราทำงานจนหมดวันแล้ว และในวันรุ่งขึ้นเราจะมาสแกนต่อจากจุดเดิมนั้น ทางทีมงานสังเกตว่าการต่อจากจุดเดิมนั้นค่อนข้างยากเลยทีเดียว เราต้องหาจุดที่เป็นเอกลักษณ์มากหรือสิ่งที่มีสีชัดเจนมากๆ จึงจะสามารถสแกนต่อได้ และอีกข้อสังเกตอีกหนึ่งอย่างก็คือ อาจจะเป็นเพราะว่าแสงของแดด นั้นอาจจะมีความเปลี่ยนแปลง จึงทำให้สีสันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนจึงทำให้การจับสถานที่ในภาพรวมนั้นยากมากยิ่งขึ้น
เพิ่ม Lidar แต่ก็จ่ายเงินเหมือนเดิม อันนี้ถือว่าน่าเสียดายสุดๆ ครับ ทาง Matterport Pro3 ได้ทำการเพิ่ม lidar Scan เข้าไปใน Matterport Pro3 แล้วแต่หากจะนำมาใช้งานจริงในทันทีก็ยังไม่สามารถทำได้เช่นเดิม ซึ่งต้องให้เรานั้นอัพขึ้นไปบน Saas ก่อนจึงจะสามารถโหลด Point Cloud ออกมาได้ และยังมีค่าใช้จ่ายอยู่ราวๆ 2,000 บาทเช่นเิม ซึ่งต่างจาก BLK 360 ที่สามารถใช้งานได้ทันที
แต่ในภาพรวมนั้นการพัฒนาในส่วนต่างๆ ของ Matterport Pro3 นั้นก็สามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดี ในส่วนที่เป็นข้อจำกัดของ Matterport Pro2 ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาได้เป็นอย่างดี แต่หากใครๆ หลายคนต้องกาใช้งานในส่วนที่มากกว่า Virtual Reality นั้นก็อาจจะต้องชำระเงินเพิ่มกันอีกนิดนะครับ แต่ว่าจะเป็นจ่ายเพียงครั้งแรกที่ดาวโหลดเท่านั้น ครั้งต่อไปก็สามารถโหลดได้เลยครับ และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งานมาตลอด 2 เดือนของทีมงานเท่านั้น หากเพื่อนๆ คนมีเทคนิกหรือมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็สามารถนำมาแบ่งปันได้นะครับ